5 ข้อควรรู้ก่อนถูกปฏิเสธเข้าประเทศญี่ปุ่น
ช่วงหน้าหนาวที่ญี่ปุ่น มีคนไทยหนีร้อนมาพึ่งหนาวที่ญี่ปุ่นกันมากมาย ยิ่งตอนนี้ฟรีวีซ่า ยิ่งสบาย มีแค่พาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินก็มาญี่ปุ่นได้ แต่ความจริงมีแค่นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้ามาเที่ยวได้ง่ายๆ ช่วงนี้ทางสถานทูตฯ ได้ยินเรื่องร้องเรียนบ่อยๆ ว่าอุตส่าห์เดินทางมาถึงญี่ปุ่นแล้ว หอบเงินเตรียมมาช้อปปิ้งเต็มที่ แต่กลายเป็นว่าตม. ญี่ปุ่นไม่ให้เข้าประเทศซะงั้น ผลสุดท้ายก็ต้องนั่งเครื่องบินกลับประเทศไทยไปตามระเบียบ
ทางสถานทูตฯ แนะนำผู้ที่ต้องการจะมาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวของคนไทยที่จะมาเที่ยวญี่ปุ่นจะได้ไม่ผิดหวัง ว่าไม่ใช่แค่มีพาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินเท่านั้น แต่ 5 ข้อหลักๆ ที่ ตม. ญี่ปุ่นใช้พิจารณาว่าจะให้เข้าหรือไม่ให้เข้าประเทศญี่ปุ่น ได้แก่
1. พาสปอร์ตมีอายุมากกว่า 6 เดือน
2. วัตถุประสงค์การเข้าเมืองเป็นความจริงเหมาะสม
3. กิจกรรมที่จะเข้ามาดำเนินการในญี่ปุ่นสอดคล้องกับระเบียบ ตม. เช่น วีซ่าท่องเที่ยวก็มาท่องเที่ยวจริงๆ
4. ระยะเวลาที่จะพำนักเป็นไปตามที่ ตม. อนุญาต
5. ไม่เป็นบุคคลที่เคยถูกเนรเทศ หรือเคยมีประวัติอาชญากรรมที่ญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ดี การตัดสินใจทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับ ตม. ญี่ปุ่น ถ้าหากถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ ทางการญี่ปุ่นเขาก็มีหลักการดำเนินการส่งตัวผู้ถูกปฏิเสธกลับประเทศไทย เช่น ถ้าเดินทางถึงญี่ปุ่น ช่วงเช้า หลังจากทางการตัดสินปฏิเสธให้เข้าประเทศ และได้เดินทางกลับประเทศไทยในวันเดียวกัน จะมีค่ารักษาความปลอดภัยในขณะที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 22,000 เยนต่อคน แต่ถ้าต้องค้างคืนเพื่อรอเที่ยวบินขากลับในวันถัดไปจะมีค่ารักษาความปลอดภัย 33,000 ต่อคน นอกจากนี้ยังมีค่าโรงแรมซึ่งทางสายการบินที่เรานั่งมาจะเป็นผู้จัดหา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ผู้ถูกปฏิเสธให้เข้าญี่ปุ่นต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
จะเห็นได้ว่านอกจากไม่ได้เข้าประเทศแล้วยังต้องเสียค่าใช้จ่ายยุบยับ เสียเวลา แถมยังเสียอารมณ์อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นก่อนจะมาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น สถานทูตฯ จึงอยากให้คนไทยเตรียมความพร้อมของเอกสารการเดินทางต่างๆ เช่น เอกสารสำรองห้องพัก, กำหนดการท่องเที่ยว ฯลฯ ให้พร้อมก่อนการเดินทางเข้าญี่ปุ่น ทั้งนี้การอนุญาตให้เข้าหรือไม่ให้เข้าประเทศอยู่ในดุลพินิจและเป็นอำนาจของ ตม. ญี่ปุ่น สถานทูตฯ ไม่สามารถก้าวก่ายได้
ที่มา: Facebook สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น