ครั้งหนึ่งในชีวิต… เราคือผู้พิชิตภูเขาไฟฟูจิ
ความเดิมตอนที่แล้ว ปีนภูเขาไฟฟูจิ…ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 1) หลังจากตัดสินใจจะปีน ภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) เราก็เดินทางจาก Station 5 จนมาถึง Station 8 หลักจากเหน็ดเหนื่อยกับการปีนภูเขาไฟฟูจิมาถึง 3 สถานี ก็ใกล้จะถึงที่พักของเราแล้ว
แต่พอเพื่อนเดินออกมาบอกว่าที่พักเรายังต้องเดินขึ้นไปต่ออีกน่าจะประมาณอีก 2 ชั้นได้ จากที่เหนื่อยอยู่แล้วนี่แทบจะเป็นลม ฮ่าๆๆๆ
พอมองขึ้นไปเอิ่มมม ฉันต้องปีนขึ้นไปอีกหรอเนี่ย แต่ก็ต้องปีนสินะ ^_^ เอาไหนๆ ก็ไหนๆ ปีนขึ้นไปอีกนิด! สู้ๆ! (แต่ความจริง ไม่นิดเลย TT)
และแล้วเราก็มาถึงที่พัก โรงแรม Gunso – Muro โรงแรมบนภูเขาไฟฟูจิ ช่วงเวลาประมาณ 6 โมงนิดๆ ใช้เวลาปีนขึ้นราวๆ 7 ชั่วโมงได้ ส่วนที่พักของเราจะมีป้ายรูปภูเขาไฟฟูจิตั้งเด่นเป็นสง่า บอกระดับความสูง 3,250 m. ถึงที่พักแล้วจะรออะไรก็รีบเข้าไปเช็กอินสิคะ ^_^
ด้านในที่พัก เข้าไปโซนแรกจะเป็นโซนห้องอาหาร หน้าที่พักจะมีร้านขายเครื่องขนมและเครื่องดื่ม เราจะมากินข้าวเย็นกันโซนนี้ค่ะ ส่วนโซนห้องนอนจะต้องขึ้นไปชั้นสอง จะเป็นห้องกว้างๆ แบ่งออกเป็นสองชั้นย่อย คือชั้นล่างและชั้นบน จะมีถุงนอนเรียงติดๆ กันเราได้นอนชั้นล่างจะแคบๆ หน่อยต้องก้มๆ เข้าไปนอน พื้นที่วางสัมภาระก็วางตรงหัวนอนนั้นแหละค่ะ
พอหกโมงครึ่งพนักงานโรงแรมจะมาเรียกให้เราลงไปกินข้าว ซึ่งอาหารมื้อค้ำของเราก็คือ “ข้าวแกงกะหรี่” และ “ไก่ป๊อป 2 ชิ้น” เราซึ่งเป็นคนไม่ชอบกินแกงกะหรี่อยู่แล้ว เลยได้รับประทานแค่ข้าวกับไก่ป๊อปสองชิ้นเล็กๆ (T_T)
กินข้าวเสร็จก็เริ่มเข้านอนเพราะต้องตื่นตั้งแต่ตีหนึ่งครึ่งเพื่อเราจะได้ขึ้นภูเขาไฟฟูจิกันต่อ กำหนดการคือจะเริ่มเดินทางขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟตอนตีสอง สาเหตุที่ต้องขึ้นไปตั้งแต่ตีสอง ก็เพราะส่วนมากนักปีนเขาอยากไปไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้ากันค่ะ!
แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับค่ะ อาจเป็นเพราะที่นอนมันแคบๆ และต้องนอนติดกับคนข้างๆ ทำให้เรานอนไม่หลับ พลิกตัวกลับไปกลับมาหลายรอบมาก สักพักเพื่อนเราก็ลุกขึ้นมาบอกเราว่ารู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้ ปวดเบ้าตา คืนนั้นเราเลยไม่นอนกัน ตัดสินใจเก็บข้าวของมานั่งข้างนอกแทน
พอเพื่อนได้กินยาแก้ปวด และพ่นออกซิเจน ดื่มเกลือแร่ สักพักอาการก็ดีขึ้น จนกระทั้งตีหนึ่งกว่าๆ ทุกคนก็เริ่มลุกลงมาเพื่อเตรียมตัวออกสตาร์ทกัน
พอเพื่อนรู้สึกดีขึ้น เราก็เริ่มสตาร์ทกันประมาณตีหนึ่งสี่สิบได้ค่ะ ระหว่างทางเราต้องมีไฟฉายนะคะ ไว้ส่องทางระหว่างเดิน เพราะจะมืดมากค่ะ ทุกคนเริ่มสตาร์ทพร้อมๆ กัน เราเดินขึ้นเรื่อยๆแบบช้าๆ เพราะปีนขึ้นได้ทีละนิดๆ แล้วก็หยุดรอให้คนข้างบนปีนขึ้นไปก่อน แต่ก็เป็นข้อดีเพราะทำให้เราไม่เหนื่อยง่ายค่ะ
เมื่อเรามองลงไปด้านล่างจะเห็นแสงไฟเป็นสายเลยค่ะ คือแสงไฟจากไฟฉายของนักปีนเขาที่ทยอยกันเดินขึ้นมาเรื่อยๆ และเมื่อเรามองขึ้นไปด้านบนก็จะเป็นแสงไฟของนักปีนเขาที่ขึ้นไปก่อนหน้าเราเป็นสายยาวสุดสายตาจนไปถึงยอดเขา
เราปีนขึ้นเรื่อยๆ แบบช้าๆ จนถึง station ที่ 8.5 อยู่ระหว่างทางจาก Station 8 ไปยัง Station 9 เลยขอพักที่ station นี้สักพัก นั่งพักยังไม่ถึงนาที..ฝนก็เริ่มตกลงมาปรอยๆ เราก็เริ่มเอาเสื้อกันฝนออกมาใส่ ซึ่งเสื้อกันฝนที่เราเตรียมมาเป็นเสื้อกันฝนแบบบางๆ ซื้อที่ร้านสะดวกซื้อที่ไทยค่ะ ^_^”
ใส่เสื้อกันฝนเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินต่อ ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ สักพักเรารู้สึกว่าเริ่มเปียกๆ ด้านข้างตัว สรุปคือเสื้อกันฝนเราขาดค่ะ ลมแรงมากจนเสื้อกันฝนบางๆ ที่เราเตรียมมาเอาไม่อยู่แล้วสินะ T_T คือสภาพตอนนั้นเปียกปอนมาก ไอ้ตัวเราเปียกไม่เป็นไหร่ แต่กลัวกล้องกับมือถือเปียก เราเลยต้องพยายามดึงเสื้อกันฝนมาปิดกระเป๋ากล้องไว้ก่อนค่ะ สรุปว่าตัวเราเลยเปียกทั้งตัว
ในขณะเดียวกันนั้น เพื่อนที่มาซื้อเสื้อกันฝนที่ญี่ปุ่น กลับได้ของทนทานกว่า ไม่ค่อยเปียกเหมือนเรา ข้อนี้ต้องจดไว้ให้ดีเลยนะคะ เลือกคุณภาพเสื้อกันฝนที่ใช้ด้วย เพราะฝนตกบนเขา ลมแรงมากจริงๆ ค่ะ T_T
ยิ่งปีนสูงไปเรื่อยๆ ลมก็เริ่มพัดแรงเรื่อยๆ ฝนก็เริ่มตกไม่เป็นทิศไม่เป็นทาง ตอนนี้รับรู้ได้ถึงความชื้นเข้าไปในตัวทั้งหนาวทั้งชื้น ถุงมือก็เริ่มอุ้มน้ำ
ถุงมือที่เราใส่เป็นถุงมือผ้าอะค่ะ กันหนาวได้แต่ไม่กันฝน ^_^ เราจึงต้องเตือนตั้งแต่ตอนต้นๆ เรื่องการเตรียมอุปกรณ์ (จาก ตอนที่แล้ว) ว่าถุงมือควรเตรียมแบบกันฝนและกันหนาวได้ด้วย เสื้อกันฝนก็ต้องเตรียมแบบหนาๆ ที่กันได้ทั้งฝนและลม ที่สำคัญ ควรมีฮูดสำหรับคลุมหัวด้วยจะดีมาก เพราะอากาศบนยอดภูเขาไฟฟูจิแปรปรวนมากค่ะ เราไม่รู้ว่าวันที่เราขึ้นอากาศจะเป็นยังไง
เมื่อถึง Station 9 ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เรานั่งพักที่แคร่ของจุดแวะพักทั้งที่ตัวยังเปียกๆ พอแค่หายเหนื่อย เมื่อมองไปด้านล่างเห็นแสงไฟฉายของเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดินเป็นทิวแถว และเมื่อมองไปยังด้านบน ก็เป็นแถวยาวขึ้นไปจนสุดลูกหูลูกตา เมื่อพักพอหายเหนื่อย ก็ได้เวลาเดินตามกลุ่มขึ้นไป
กว่าจะขึ้นมาถึง Station 10 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูเขาไฟฟูจิ เราใช้เวลาไปทั้งหมด 4 ชั่วโมงได้ค่ะ หากเป็นสถานการณ์ปกติที่อากาศแจ่มใสคาดว่าเราจะใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมงนิดๆ ทันเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเหนือเมฆพอดี TT
แต่ขณะนี้ถึงแม้ว่าฟ้าเริ่มสว่างแล้วในเวลาหกโมง แต่เราก็ยังไม่เห็นวี่แววของพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งเลย เมื่อขึ้นไปถึงจุดหมาย ที่ด้านบน เราสังเกตเห็นสัญลักษณ์เทาโทริอิตั้งเด่นเป็นสง่า เย้! เรามาถึงแล้ว!
แต่ดีใจได้ไม่สุดเท่าไร เพราะว่า ทั้งฝนทั้งหมอก พัดกระจายมาแบบไม่เป็นทิศเป็นทาง เราถ่ายรูปน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นภาพจากกล้องมือถือ (ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานมือถือก็เดี้ยง)
เรากับเพื่อนเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ คือเสื้อกันฝนเราต้านลมไม่อยู่ เราเริ่มมองหาที่หลบฝน ซึ่งมองไปรอบๆ ตามหลังคาที่ยื่นออกมาจากร้านค้าต่างๆ ก็แทบจะไม่มีที่ให้เรายืนเลยเพราะต่างคนก็ต่างหลบฝน
ส่วนร้านค้าต่างๆ คนเต็มร้านไปหมด เรากับเพื่อนเดินหาที่หลบฝนไปเรื่อยๆ และได้เหลือบไปมองเห็นห้องเล็กๆ มีคนยืนอยู่ข้างในประมาณ 2-3 คน เรารีบเดินดิ่งไปเพื่อจะไปขอหลบฝน พอเดินไปใกล้ๆ เท่านั้นแหละ อ๋อ มันคือห้องน้ำนั่นเอง ^_^” (แป่ว)
ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวมนะคะ เหมือนกับบรรดาห้องน้ำตามแต่ละ station ที่ผ่านมา ที่ส่วนมากจะเป็นห้องน้ำรวมเช่นเดียวกันค่ะ พอเราเข้าไปในห้องน้ำจะเห็นโถฉี่ของผู้ชายก่อน แล้วถัดไปจึงจะเป็นห้องส้วม แบ่งเป็นห้องๆ
เรากับเพื่อนไม่มีทางเลือกแล้วค่ะ ตัดสินใจเข้าไปหลบฝนในห้องน้ำ เดินข้าไปจะมีแคร่ไม้เล็กๆ พอที่จะนั่งได้สองคน เรากับเพื่อนตัดสินใจนั้งหลบฝนในนี้ เพราะช่วงเวลานั้นไม่มีทางเลือกแล้วแหละ ^_^”
นั่งหลบฝนกันอยู่สักพักก็เริ่มหิวค่ะ มองออกไปข้างนอกเห็นคนเริ่มเดินลงกันไปเกือบหมดแล้ว เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาอะไรกิน
บน Station 10 นี้จะมีร้านค้าขายอาหารและอุปกรณ์กันฝน ประมาณสองสามร้านได้ เราตัดสินใจซื้อเสื้อกันฝนใหม่ ราคา 2,000 เยน เลยทีเดียว (ปกติด้านล่างจะขาย 1,000 เยน) แต่ถ้าไม่ซื้อคงเดินลงไปไม่ได้ เลยต้องตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ก็สั่งราเมงคัพมานั้งกินกันสักพัก ซึ่งราคานั้นสุดแสนโหด ปกติราคาราเมงคัพที่ขายตามร้านสะดวกซื้อด้านล่างจะประมาณ 148 เยน แต่ข้างบนนี้ 750 เยนจ้า อิอิ
ฝนเริ่มเหมือนจะหยุดตกเลยตัดสินใจจะเดินไปปากปล่อง แต่พอเดินออกจากร้านเท่านั้น เอิ่มมม -__-” ฝนก็ตกลงมาอีกแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก หมอกก็ยังหนาเหมือนเดิมค่ะ เราเดินไปดูแถวๆ บริเวณที่มีเชือกกั้นอยู่ เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นปากปล่อง ซึ่งมองไม่เห็นอะไรเลย หากเดินข้ามที่กั้นลงไปก็กลัวจะตกลงไป 555 สรุปเราสองคนก็ไม่ได้รูปปากปล่องภูเขาไฟฟูจิกลับมา
ทีแรกเรากับเพื่อนกะจะรอให้แดดออกค่ะ แต่ดูแล้วไม่มีวี่แวว แถมเพื่อนร่วมทางเหลือน้อยเต็มทน…เราเลยตัดสินใจเดินลงค่ะ T T
เส้นทางลงจากภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji)
เรากับเพื่อนเดินลงคนละเส้นกับทางขึ้นมาค่ะ เพราะเห็นคนส่วนมากลงเส้นนี้กัน ทางลงจะเป็นแบบทางลาดซิกแซกโค้งหักศอกลงไปเรื่อยๆ ดูจากสายตา เหมือนจะง่าย แต่พอลองเดินจริงๆ แล้วรู้สึกยากกว่าทางขึ้นค่ะ เพราะทางขึ้นเรายังมีก้อนหินเป็นที่ยึดจับ แต่ทางลงจะเป็นทางลาดลงและมีแต่ก้อนหินก้อนกรวด ด้านไหล่เขาไม่มีที่คั่น หากลื่นไถลลงไปมีสิทธิ์ตกไหล่เขาได้เลยค่ะ
ด้วยความที่เรากลัวความสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่พยายามมองไปทางไหล่เขา และต้องระวังให้มากๆ ขาและข้อเท้านี่เกร็งตลอดเลยค่ะ
เส้นทางลงพอถึง Station 8 จะมีทางแยก ให้สังเกตป้ายดีๆ นะคะ โดยป้ายจะบอกทาง Yoshida Trail (เส้นสีเหลือง) กับ Subashiri Trail (เส้นสีแดง) เรามาจากเส้นไหนต้องลงเส้นนั้น อย่างเช่นกรณีนี้ เรามาจาก Yoshida Trail ก็ต้องลงฝั่ง Yoshida Trail ค่ะ ถ้าลงผิดไปสีแดงจะไปโผล่อีกจังหวัดนึงเลย!
เราใช้เวลาลงทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า ในการไปถึง Station 5 ที่เราเริ่มต้นมา ถือว่าภารกิจการปีนภูเขาไฟฟูจิครั้งนี้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว!!!
ถึงแม้เราจะไม่โชคดีที่ได้เห็นปากปล่อง เข้าทำนองที่ว่า “ขึ้นอย่างเฮฮา ดราม่าตอนขาลง” 555 แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่เราได้เห็นความสวยงามระหว่างเส้นทางที่เราได้ปีนขึ้น อีกอย่างหนึ่งคือ “ใจ” เราเอาชนะใจตัวเองได้ เท่านี้ก็ถือว่าได้กำไรแล้วค่ะ
อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ต้องการจะไปพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิสักครั้งในชีวิต ให้ลองไปดูสักครั้ง แล้วเราจะรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เราได้ทำค่ะ สู้ๆ นะคะ
ปล. ช่วงเวลาสำหรับการปีนภูเขาไฟฟูจิคือเดือน มิถุนายน-ต้นเดือนกันยายนค่ะ “การปีนภูเขาไฟฟูจินั้นไม่ยาก แต่ค่อนข้างลำบาก…มาก 555” เตรียมตัวไปให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : ภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) ภูเขาสูงและสวยสุดในญี่ปุ่น
บทความที่เกี่ยวข้อง : ปีนภูเขาไฟฟูจิ…ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 1)
เรื่องและภาพ: Katai Noi DPlus Guide Team