ใครที่ได้ไปดูภาพยนตร์เรื่อง “แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว” คงจะเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของหลายๆ เมืองในฮอกไกโด เกาะเหนือสุดหนาวสุดของญี่ปุ่นกันไปบ้างแล้ว สำหรับใครที่อยากจะไปเที่ยวตามรอยแฟนเดย์ หรืออยากจะรู้ว่าสถานที่ที่ เด่นชัย (เต๋อ – ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) กับ นุ้ย (มิว – นิษฐา จิรยั่งยืน) พระเอกนางเอกของเราไปเที่ยวฮอกไกโดสวีทกันนั้นอยู่ส่วนไหนในฮอกไกโดกันบ้าง และจะไปเที่ยวตามได้ยังไง ตามมาเลย! DPlus Guide จัดให้จ้า!
**อ๊ะอ๊ะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าบทความนี้มีสปอยล์หนังเรื่อง “แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว” เบาๆ นะจ๊ะ ในบทความจะมีภาพเทียบสกรีนช็อตจากคลิปโปรโมตหนังให้ดูแบบช็อตต่อช็อตด้วย**
เริ่มจาก เมืองโอตารุ (Otaru) >> โนโบริเบทสึ (Noboribetsu) >> ฮาโกดาเตะ (Hakodate) >> แล้วมาจบที่ ซัปโปโร (Sapporo)
[เมืองโอตารุ – Otaru]
เมืองเล็กๆ ที่มีคลองโอตารุเป็นจุดเด่น คลองนี้เป็นคลองขนสินค้าโบราณและโกดังเก่าซึ่งคนไทยรู้จักกันดี นั่งรถไฟจากซัปโปโรไปประมาณ 40 นาทีเท่านั้น ใครจะไปโอตารุจากซัปโปโร แนะนำอย่าลืมซื้อตั๋ว Otaru Welcome Pass ด้วย เพราะมีทั้งตั๋วแบบ 1 วันของรถไฟไปโอตารุและรถใต้ดินในซัปโปโรแพ็กมาด้วยกัน (แบ่งใช้คนละวันได้) ใช้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็แทบจะคุ้มค่าตั๋วทั้งหมดแล้ว
1. Kiroro Resort
Kiroro Resort รีสอร์ทกลางหุบเขาที่มีหิมะขาวโพลนสุดไฮโซโรแมนติก อันนี้จัดว่าเป็นสกีรีสอร์ทที่มีขนาดใหญ่และอยู่ใกล้ซัปโปโร เมืองหลวงของเกาะฮอกไกโดที่สุด แต่ทว่าทางเข้าซึ่งมีทางเดียวจะเป็นถนนที่ค่อนข้างคดเคี้ยวข้ามเขาเข้าไปจากถนนใหญ่ลึกพอสมควร (ประมาณ 30 กม. แน่ะ!) แถมต้องไปเริ่มต้นจากทางเมืองโอตารุอีกต่างหาก ตอนนี้ใครๆ ก็คงนึกภาพซุ้มที่เด่นชัยไปตีระฆังอธิษฐานกันออกละนะ ^_^
แต่รีสอร์ทแถวนี้จะมีหน้าตาแบบในหนังก็เฉพาะหน้าหนาวนะคร้าบ พอหน้าร้อนผ่านไปก็จะเหลือแต่ไม้ยืนต้นโตๆ ที่ยังรอดอยู่ใต้หิมะที่ทับถม ส่วนมากแล้วก็มักจะต้องปลูกต้นไม้ใบหญ้ากันใหม่หมดจนกลายเป็นสวนและทุ่งเขียวๆ แทน
อ้อ! ลืมบอกไป ว่าตอนนี้ที่นี่เป็นกิจการในเครือของ Property Perfect บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่เพิ่งไปซื้อมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง น่าจะมีราคาพิเศษสำหรับคนไทยนะ
Kiroro Resort
[info-w] www.kiroro.co.jp
[info-g] 43.060164, 141.005666
2. พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี – Otaru Orgel Museum
ที่ที่คุณก็รู้ว่าต้องไป นั่นละ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Museum) หรืออีกชื่อคือ Otaru Music Box Museum ตึกที่มีนาฬิกาไอน้ำเรือนโตตั้งอยู่หน้าทางเข้า คอยพ่นควันขาวบอกเวลาทุกๆ 15 นาที และส่งเสียงดนตรีทุกชั่วโมง
ส่วนข้างในพิพิธภัณฑ์ก็ใหญ่โตหลายอาคารหลายชั้น ก็มีทั้งกล่องดนตรีไขลานเล็กๆ แบบกุ๊กกิ๊กน่ารัก สำหรับซื้อไปฝากแฟน หรือกล่องดนตรีอันเบ้อเริ่มแบบโบราณที่จัดแสดงให้ชม (ถ้าใครจะซื้อเค้าก็คงขายมั้ง เพราะเห็นติดราคาไว้แค่เหยียบแสนหรือเฉียดล้านบาทเอง!) ที่นี่คนไทยตรึมทุกวันและจัดเป็นแหล่งละลายทรัพย์อันดับหนึ่งของโอตารุเลย เดินดูแล้วอย่าไปทำของเค้าคว่ำทั้งโต๊ะแบบในหนังล่ะ หลายตังค์เชียวนะ
ที่นี่ตั้งอยู่บน ถนนซาไกมาชิ (Sakaimachi) ใกล้กลุ่มร้านขนมหวานดังเช่น LeTAO (ชีสเค้ก) หรือ Kitakaro (ชูว์ครีม) แต่ค่อนข้างไกลจากสถานี JR Otaru ที่เป็นสถานีรถไฟหลักของเมือง (ตรงนั้นเหมาะจะเดินไปดูคลองโอตารุมากกว่า) เลยขอแนะนำให้เดินจากสถานีสุดท้ายก่อนถึงโอตารุคือ JR Minami Otaru แล้วเดินลงเนินประมาณ 5 – 10 นาทีก็ถึง ใกล้กว่ากันเยอะเลย
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Museum)
[info-t] เวลาเปิด-ปิด: เวลาทำการปกติ 09:00 – 18:00 น.
(วันศุกร์ เสาร์ และวันก่อนวันนักขัตฤกษ์ในช่วงฤดูร้อนเปิด 09:00 – 19:00 น.)
(วันศุกร์ เสาร์ และวันก่อนวันนักขัตฤกษ์ในเดือนกันยายน เปิด 09:00 – 18:30 น.)
[info-w] www.otaru-orgel.co.jp
[info-g] 43.190581, 141.007739
[เมืองโนโบริเบ็ตสึ – Noboribetsu]
นั่งรถไฟจากโอตารุ (ต้องต่อรถที่ซัปโปโร) แล้วมุ่งลงใต้ผ่านทางเดียวกับ สนามบินชิโตเสะ (แต่ไม่แยกเข้าสนามบิน)ใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง (รวมต่อรถไฟด้วย) ก็จะถึงสถานี JR Noboribetsu ซึ่งอยู่ริมทะเล
แต่ยังก่อน! ยังไม่ถึงบ่อน้ำพุร้อนและหุบเขานรก เพราะอันนั้นอยู่ที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Noboribetsu Onsen ซึ่งจะต้องต่อรถบัสจากเมือง Noboribetsu (เฉยๆ ไม่มีคำว่า Onsen) เข้าไปอีกทอดหนึ่ง นั่งรถประมาณ 15 นาที (7 กม.) ถึงสถานีรถบัส Noboribetsu Onsen จากที่นั่นจะต้องเดินต่อไปยังบริเวณหุบเขานรกอีก 10-15 นาที หรือ 700 ม. (รวมเวลาเดินทางจากโอตารุราวๆ 3 ชั่วโมง)
3. หุบเขานรก – Jigokudani
หุบเขานรก Jigokudani (Jigoku = นรก, Dani = หุบเขา แปลตรงๆ เลยว่าหุบเขานรกนั่นเอง) เป็นที่ท่องเที่ยวหลักของเมือง Noboribetsu Onsen ซึ่งเป็นเมืองอาบน้ำแร่ที่ดังที่สุดของฮอกไกโดและอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ที่นี่มีบ่อน้ำแร่ที่แตกต่างกันถึง 11 ชนิด มีโรงแรมที่พักที่ให้บริการอาบน้ำแร่นับสิบแห่งทั่วเมือง
บริเวณหุบเขานรกนั้นแม้แต่พื้นดินรอบๆ ก็ร้อนจนมีควันพวยพุ่งตลอดเวลา แถมกลิ่นกำมะถันคละคลุ้งไปทั่ว จากทางเข้ามีทางเดินไม้มีราวกั้นตลอดทอดเข้าไปสุดที่บ่อน้ำร้อน Tessen Ike ที่มีรั้วล้อมอยู่ตรงกลางหุบเขา น้ำในบ่อจะเดือดปุดๆ มีควันขึ้นอยู่ตลอด แต่จะเดือดพล่านรุนแรงเป็นระยะ ไม่ค่อยแน่นอน เวลาไปจึงมักจะเห็นคนยืนรอดู แล้วพอได้เห็นน้ำเดือดพล่านจนหยุดก็เดินกลับพร้อมกันเป็นชุดๆ ไป ถ้าหน้าหนาวก็อาจมีหิมะปกคลุมเป็นหย่อมๆ ตรงที่ร้อนน้อยหน่อยแบบในหนัง แต่ตรงที่ร้อนมากๆ หิมะก็ละลายหมด แถมไม่มีต้นไม้ขึ้นด้วยซ้ำ
หุบเขานรก Jigokudani
[info-t] พ.ค. – ต.ค. 10:00 – 15:00 น. (ปิดทางเดิน Walking trails ในช่วงฤดูหนาว)
[info-g] 42.497415, 141.147094
ใครมาที่นี่แล้วถ้ามีเวลาเหลือแนะนำให้เดินต่อไปชมทะเลสาบ โอนุยุมะ (Onuyuma Lake) ชึ่งเป็นทะเลสาบน้ำร้อนที่ใหญ่ที่สุดด้วย โดยนั่งรถหรือเดินต่อขึ้นเขาไปตามถนนลาดยางอีกราว 1.5 กม. จะเห็นทะเลสาบขนาดเล็กที่เป็นน้ำแร่สีเทาขุ่นๆ ร้อนจัดจนควันขึ้น ความร้อนที่ผิวหน้า 40-50 องศาเซลเซียสแต่ลึกลงไปจะสูงเกิน 100 องศาได้!
[เมืองฮาโกดาเตะ – Hakodate]
เมืองท่าใหญ่ตอนปลายสุดทางใต้ของฮอกไกโด จากที่นี่ข้ามทะเลตรงช่องแคบสึงะรุ (Tsugaru) ไปยังเมืองอาโอโมริ (Aomori) เหนือสุดของเกาะฮอนชูเป็นระยะทางกว่า 50 กม. แต่ก็เพิ่งจะมีบริการรถไฟความเร็วสูง Shinkansen วิ่งลอดอุโมงค์ใต้ทะเลมาถึงเมื่อเดือนมีนาคม 2016 ที่ผ่านมานี่เอง ถ้านั่งรถไฟจากโตเกียวจะใช้เวลาราวๆ 5 ชั่วโมง ส่วนกรณีนั่งรถไฟจากซัปโปโรลงมาก็ 4 ชั่วโมง หรือถ้านั่งรถไฟจากโอตารุก็เกือบ 5 ชั่วโมงเท่ากัน
4. ภูเขาฮาโกดาเตะ – Mt. Hakodate
มาต่อกันที่ จุดชมวิวและสถานีรถกระเช้าที่ยอดเขาฮาโกดาเตะ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดของฮอกไกโด เพราะภูเขาไปอยู่ปลายแหลม เวลามองลงมาจะเห็นเมืองใหม่อยู่ตรงโคนแหลม แล้วมีทะเลขนาบสองข้าง สวยแปลกกว่าวิวเมืองไหนๆ ส่วนเมืองเก่าที่สร้างมาแต่เดิมจริงๆ ก็คืออยู่เชิงเขาตรงปลายแหลมนั่นเองแหละ ภายหลังความเจริญได้ค่อยๆ ไหลลึกเข้าไปในแผ่นดินจนกลายเป็นเมืองใหม่
ที่นี่สวยสุดๆ แต่คนก็แน่นสุดๆ ไปเลยเช่นกัน โดยเฉพาะตอนจวนค่ำ ซึ่งใครๆ ก็อยากมาดูแสงไฟพราวจากตัวเมืองกันทั้งนั้น ถ้าจะมาเพื่อถ่ายรูป ก็ต้องมาจองทำเลกับตั้งแต่เนิ่นๆ เลยทีเดียว!
การไปที่สถานีรถกระเช้า จากสถานีรถไฟ JR Hakodate ต่อรถรางไปอีก 3 ป้าย ลงป้ายรถราง Jujigai (ได้ทั้งสาย 2 และสาย 5) แล้วต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 600 เมตร รถกระเช้าปิดแค่สามทุ่มในหน้าหนาว หน้าร้อนเพิ่มเป็นสี่ทุ่ม ใครจะไปต้องเผื่อเวลาให้ดี
Mt. Hakodate Ropeway รถกระเช้าขึ้นยอดเขาฮาโกดาเตะ
[info-t] 10:00 – 22:00 น. (ฤดูหนาวปิดเร็วกว่าปกติ 21:00 น.)
[info-f] เที่ยวเดียว 680 เยน, ไป-กลับ 1,160 เยน
[info-g] 41.760901, 140.714309
5. โกดังอิฐแดง – Kanemori Red Brick Warehouse
โกดังอิฐแดง Kanemori Red Brick Warehouse ที่นี่เคยเป็นโกดังสินค้าเก่าติดท่าเรือริมทะเล 3-4 หลังเรียงกัน ด้วยความที่รูปทรงภายนอกดูเก๋ไก๋ มีเถาวัลย์ปกคลุม เลยถูกเอามาดัดแปลงเป็นห้างย่อมๆ ภายในมีร้านอาหาร ขนมหวาน และร้านขายของที่ระลึกกระจุกกระจิก ฯลฯ หลายสิบร้าน มีสะพานข้ามคลองที่ให้เรือลอดเข้าไปเทียบขนสินค้าข้างๆ โกดัง ใช้เวลาเดินชิลๆ ได้สักชั่วโมง แล้วแต่ว่าจะช้อปมากหรือน้อย ช่วงเย็นวันที่ 1-24 ธันวาคมของทุกปีจะตั้งต้นคริสมาสต์ยักษ์ที่นี่ มีการประดับไฟพราวโดยเริ่มตั้งแต่หกโมงเย็นทุกวัน
การเดินทาง เดินจากป้ายรถราง Jujigai ไปอีกทางหนึ่งคือเดินเข้าหาทะเล ระยะทางประมาณ 400 เมตร
Kanemori Red Brick Warehouse
[info-t] ร้านค้าเปิดประมาณ 10:00 -20:00 น. ช่วงเทศกาลอาจเปิดถึง 22:00 น. (วันธรรมดาฤดูหนาวปิดเร็วกว่าปกติ)
[info-g] 41.766775, 140.716622
6. เนินฮาจิมัน – Hachimansaka (slope)
เนินฮาจิมัน Hachimansaka ฉากที่พระเอกนางเอกของเราเดินคุยความในใจกันนั่นเอง ความจริงถนนตามเนินเขาที่ทอดยาวจาก Mt. Hakodate ลาดลงไปสู่ทะเลนั้นมีหลายสาย แต่เส้นที่สวยที่สุดคือเส้น Hachimansaka Dori นี้แหละ (dori = ถนน) เพราะความที่เป็นเนิน (slope) ลาดชันลงไป เลยจะมองลงไปเห็นท่าเรือ เวิ้งอ่าว และตัวเมืองพร้อมๆ กัน เมื่อเดินลงไปสุดทางก็จะถึงท่าเรือ เลี้ยวขวาไปจะเจอโกดังอิฐแดงพอดี
ถนนลงเนินเส้นนี้เดินจากป้ายรถราง Jujigai ก็ได้เช่นกัน ราว 500 ม. แต่ถ้าลงป้ายถัดไป (สาย 5) จะเดินใกล้กว่านิดหน่อยคือราว 300 ม. เท่านั้น
เนินฮาจิมัน Hachimansaka
[info-g] 41.765047, 140.713073
7. แหลมทาชิมาจิ – Tachimachi
แหลมทาชิมาจิ (Tachimachi) เป็นแหลมใต้สุดของฮาโกดาเตะ คือเชิงเขา Mt. Hakodate ลูกเดิมนั่นแหละ แต่เป็นปลายสุดของแหลมหรือคาบสมุทรที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าอากาศดีก็อาจจะมองเห็นเกาะฮอนชู (เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น) ที่อยู่ห่างไปทางใต้ราว 30 กม. ได้ ปลายแหลมเป็นหน้าผาสูง ปรับเรียบเป็นลานจอดรถชมวิวได้ มีร้านอาหารเล็กๆ ให้นั่งชิมไปชิลไป (ถ้ายังเปิดให้บริการอยู่นะ)
การเดินทาง ต้องเดินต่อจากป้ายสุดท้ายของรถรางสาย 2 คือ Yashigashira ไปอีกประมาณ 1.1 กม. หรือเช่าจักรยานจากในเมืองขี่ไปหรือถ้าขับรถไปก็สะดวกดี
ปล. ระหว่างทางก่อนถึงแหลม สองข้างทางจะเป็นสุสานขนาดใหญ่มาก สำหรับคนขวัญอ่อนไม่แนะนำให้ผ่านไปตอนจวนพลบค่ำนะครัช บรื๋อว์ :-(
แหลมทาชิมาจิ (Tachimachi)
[info-g] 41.745424, 140.721259
8. บ่อออนเซ็นลิง – Tropical Botanical Garden
บ่อออนเซ็นลิง ที่ สวนพฤกศาสตร์เขตร้อน Tropical Botanical Garden อันนี้ห่างเมืองฮาโกดาเตะออกมาพอสมควร คือสุดสายรถรางสาย 2 หรือสาย 5 อีกปลายหนึ่งเลย ซึ่งจะเป็นเมืองอาบน้ำแร่ Yunokawa Onsen อยู่ทางตะวันออกของฮาโกดาเตะประมาณ 5 กม. ตามถนนที่เลียบทะเลไปทางเดียวกับสนามบิน Hakodate นั่นเอง แต่ถึงก่อนสนามบิน 1-2 กม.
ถ้านั่งรถรางจะมาสุดที่ป้าย Yunokawa (ถัดจากป้าย Yunokawa Onsen มาอีก 1 ป้าย) ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปห่างชายฝั่ง จะต้องเดินต่อมายังสวนพฤกศาสตร์เขตร้อน Tropical Botanical Garden ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อออนเซ็นที่ลิงมาแช่กันเป็นฝูงในหน้าหนาว (หน้าร้อนไม่มีลิงให้ดูนะครัช) ที่อยู่ริมทะเล เป็นระยะทางประมาณ 1.2 กม.
สวนพฤกศาสตร์เขตร้อน Tropical Botanical Garden (เมือง Yunokawa Onsen)
[info-t] เม.ย. – ต.ค. 09:30 – 18:00 น. / พ.ย. – มี.ค. 09:30 – 16:30 น.
[info-p] 300 เยน
[info-w] www.hako-eco.com/english_leaflet.pdf
[info-g] 41.77403, 140.78968
[เมืองซัปโปโร – Sapporo]
ย้อนจากเมืองฮาโกดาเตะกลับมาที่ซัปโปโร ใช้เวลานั่งรถไฟราว 4 ชั่วโมงเต็มๆ รถไฟมีถึงดึก แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวต้องไม่ลืมว่าแค่สี่โมงเย็นก็มืดสนิทเหมือนทุ่มนึงบ้านเราแล้ว (ส่วนหน้าร้อนพระอาทิตย์ขึ้นตั้งกะตีสี่ตีห้ายันสองทุ่มครับผม)
9. ถนนคนเดิน ทะนุกิโคจิ – Tanuki Koji
ย่านถนนร้านค้าที่มีหลังคาคลุมแบบนี้มีมากมายหลายเมืองในญี่ปุ่น ทั้งนี้เพื่อให้ค้าขายได้ทั้งปีไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือหิมะตกหนักก็ตาม ถนนคนเดิน ทะนุกิโคจิ (Tanuki Koji) เส้นนี้เป็นตลาดเก่าอายุกว่า 130 ปี ตั้งอยู่กลางเมืองซัปโปโร ทางใต้ของสวนโอโดริอันเป็นที่จัดเทศกาลหิมะลงมาราว 400 ม. มีความยาวถึง 8 บล็อคหรือราว 1 กม. ตามแนวขวางตะวันออก-ตะวันตก เรียกว่ามีร้านเพียบเป็นร้อยๆ ให้เลือกกินดื่ม หรือช้อปละลายทรัพย์กันได้ตามอัธยาศัย
หรือถ้าช้อปบนดินยังไม่จุใจพอยังมีถนนช้อปปิ้งใต้ดิน Pole Town และ Aurora Town ที่เชื่อมต่อตั้งแต่สวนโอโดริไปจนถึงย่านซูซูกิโนะ (ย่านบันเทิงกลางคืน) และพาดผ่านถนน Tanuki Koji นี้ด้วย ซึ่งทางใต้ดินนี้ชาวเมืองนี้เค้าไว้ใช้เป็นทางสัญจรระหว่างย่านหลักๆ ของเมืองกับสถานีรถไฟ JR Sapporo เวลาที่หิมะตกหนักอีกด้วย
ถนนคนเดิน ทะนุกิโคจิ (Tanuki Koji)
[info-g] 43.056628, 141.352488
10. สวนโอโดริ และเทศกาลหิมะซัปโปโร – Odori Garden & Sapporo Snow Festival
ท้ายสุดของสุดท้ายก็คือ สวนโอโดริ (Odori) สวนสาธารณะยาวเหยียดที่พาดผ่านใจกลางเมือง และเป็นที่จัดงาน เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งจัดต่อเนื่องกันมานานเกือบ 70 ปีแล้วในอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ และมีคนเข้าชมราว 2 ล้านคนต่อปี
สวนนี้แคบแต่ยาวเกือบ 2 กม. เป็นพื้นที่สีเขียวที่แบ่งเมืองฝั่งเหนือและใต้ออกจากกัน เพื่อกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ลุกลามทั้งเมืองได้ พอเอาสถานที่มาใช้จัดงานเทศกาลก็เลยได้ความหลากหลายให้เดินตามไปเรื่อยๆ เกือบตลอดความยาวสวน ตั้งแต่ หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ (Sapporo TV Tower) ที่ปลายสวนด้านตะวันออกไปจนเกือบสุดอีกด้านหนึ่ง
ในงาน เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) เราจะได้เห็นงานปั้นหิมะสารพัดแบบ ตั้งแต่ขนาดใหญ่ยักษ์สุดอลังการบนเวทีสำหรับแขกเกียรติยศประจำปีนั้นๆ งานปั้นแบบประกอบแสงสีเสียงโดยสปอนเซอร์ภาคเอกชน เวทีการแสดงของศิลปินดัง ไปจนถึงงานปั้นประกวดของทีมจากชาติต่างๆ ผลงานของชมรมหรือสมาคมในท้องถิ่น ฯลฯ
งานเทศกาลหิมะที่สวนโอโดริจะจัดขึ้นแค่ ปีละ 7 วัน ช่วงต้นเดือน ก.พ. เท่านั้น งานเปิดตั้งแต่สายๆ แต่แนะนำให้ไปช่วงพลบค่ำคือหลังสี่โมงเย็น (ย้ำอีกทีว่าฮอกไกโดหน้าหนาวแค่ 16:00 น. ก็มืดแล้วนะครับ) จะได้เดินดูการประดับไฟเล่นกับหิมะ ซึ่งสวยกว่าดูกลางวัน เดินยาวไปจนถึงสามสี่ทุ่มงานถึงจะเริ่มปิดไฟ (…ถ้าทนหนาวไหวจนถึงเวลาปิดไฟนะ เตือนไว้ก่อนว่าอุณหภูมิช่วงนั้นของปี ตอนค่ำๆ ปกติจะอยู่ประมาณ 0 ถึง -5 องศา!) ถ้าไปช่วงอื่นอาจจะเจองานอื่นแทนหรือไม่ก็เป็นสวนเปล่าๆ แล้วแต่ช่วงเวลาครับผม
การเดินทางไปง่ายมากที่สุด เพราะรถใต้ดินทุกสายของซัปโปโรผ่านใต้สวนนี้ ลงสถานีโอโดริ (Odori) แล้วเดินขึ้นมาก็เจอเลย ถ้านั่งรถใต้ดินจากสถานีรถไฟ JR Sapporo มาสวน Odori ก็แค่ 1 ป้ายเท่านั้น หรือเดินทางเชื่อมใต้ดินระยะทางราว 700 ม. แทนก็ได้
สวนโอโดริ และเทศกาลหิมะซัปโปโร (Odori Garden & Sapporo Snow Festival)
[info-f] ฟรี
[info-g] 43.059858, 141.348031
ถ้าจะไปตามนี้จริงๆจะใช้เวลาประมาณสักเท่าไหร่?
เป็นอันว่าเราได้รีวิวสถานที่ทั้ง 10 แห่งตามรอยหนัง แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ยังสงสัยอย่างเดียวหลังจากดูหนังจบคือ สองคนนั้นเค้าเอาเวลาที่ไหนมาเดินทางไปทุกแห่งได้ภายในวันเดียว เพราะแค่นั่งรถไฟไปๆ มาๆ ระหว่างโอตารุ โนโบริเบ็ตสึ ฮาโกดาเตะ และซัปโปโร ไม่รวมแวะเที่ยวก็ปาเข้าไปเกือบสิบชั่วโมงแล้ว? อันนี้ใครรู้ช่วยมาตอบทีเถอะนะครัช :-)
แล้วถ้าจะไปเที่ยวตามรอยหนังแฟนเดย์จริงๆ ควรจะเตรียมเวลาเอาไว้ประมาณสักเท่าไหร่? เอาเป็นว่าสัก 2-3 วันน่าจะพอไหวครับ (ขึ้นอยู่กับฤดูด้วย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวนี่มืดเร็วอย่างที่บอก รถบัสต่างๆ จะน้อยกว่าปกติ เช่นนั่งรถไฟมาถึง Noboribetsu รอกว่าจะมีรถเข้าไป Jigokudani น่าจะใช้เวลาพอสมควร และที่ฮาโกดาเตะเองสถานที่ที่ไปแต่ละแห่งก็อยู่คนละทิศกันเลย แถมแต่ละป้ายรถรางก็ห่างกันเป็นกิโลฯ ถ้าไม่เดินขาลากก็ต้องเรียกแท็กซี่ช่วย (ราคาไม่โหดแบบแท็กซี่โตเกียวครับ แพงแต่พอรับได้) อย่าลืมว่าต้องเดินฝ่าหิมะนี่น่าจะใช้เวลานานขึ้นเท่าตัว ไหนจะค่อยๆ เดินไม่ให้ลื่น ไหนจะเสื้อกันหนาวหนักขึ้นอีก 1-2 กิโลกรัม ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น วันแรกเที่ยวโอตารุ + โนโบริเบตสึ (ค้างโนโบริเบตสึ) วันที่สองไปฮาโกดาเตะ เที่ยวเท่าที่มีเวลาก่อนมืด (ค้างฮาโกดาเตะ) วันที่สามเช้าตื่นมาเที่ยวฮาโกดาเตะต่อ เสร็จแล้วค่อยนั่งรถไฟเข้าซัปโปโร อะไรประมาณนี้
เอาสั้นๆ พอเป็นไอเดียแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วถ้าใครอยากได้รายละเอียดลองคุยกันมาที่ เพจ D+Plus Guide ของพวกเรากันต่อได้ เที่ยวตามรอยให้สนุกนะครับ
อ้อ! อย่าลืมว่าถ้าจะไปให้ตรงช่วงเทศกาลหิมะ ต้องจองล่วงหน้านานๆ นะครับไม่งั้นหาที่พักในซัปโปโรไม่ง่ายเหมือนกัน อย่าลืมว่าแต่ละปีมีคนมาดูงานเทศกาลหิมะแค่ 7 วันนี้ ก็ปีละร่วม 2 ล้านคนเชียวนะ!
ดูฉากและเบื้องหลังการถ่ายทำเพิ่มเติมได้ที่ www.youtube.com/watch?v=7gqyEVPSrHE
เรื่องและภาพ : วศิน เพิ่มทรัพย์ DPlus Guide Team | ขอขอบคุณภาพสกรีนช็อต จากตัวอย่างภาพยนตร์ แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว (Fanday, One Day) จาก YouTube: GDH