เมืองจอนจู ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโซล เกาหลีใต้ มีแหล่งท่องเที่ยวหลักนั่นคือ Jeonju Hanok Village หมู่บ้านเก่าแก่แห่งยุคโชซอน และมีบ้านเรือนแบบฮันอกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเกาหลี ด้วยจำนวนบ้านโบราณกว่า 800 หลังที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ และได้ชื่อว่าเป็น Slow City เมืองที่น่าอยู่และน่าเที่ยวติดอันดับหลายสำนักสื่อ นั่นอาจจะด้วยเหตุผลดีๆ เหล่านี้ค่ะ
1. เดินทางจากโซลได้สะดวก
นั่งรถไฟด่วน KTX ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงจากโซลมาลงสถานีรถไฟ Jeonju Station แล้วต่อรถบัสอีก 25 นาทีก็ถึงใจกลางหมู่บ้าน Jeonju Hanok Village แล้ว
2. เมืองสร้างสรรค์ในด้านการทำอาหารที่องค์การยูเนสโกรับรอง (UNESCO City of Gastronomy)
มีเทศกาลอาหารบิบิมบับ Jeonju Bibimbap Festival ที่โด่งดังจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมของทุกปี เราจะได้ชมวิธีการทำและชิมบิบิมบับจากเชฟดังทั่วเมืองที่จะมาร่วมประชันฝีมือกันในงานนี้ ในเมืองยังเต็มไปด้วยร้านอาหารบิบิมบับแบบต้นตำหรับให้เลือกทานกันเพียบ
3. เมืองเก่าแก่ของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน
เมืองนี้จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรุ่งเรืองในอดีตเมื่อราว 600 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยพระเจ้า Taejo ผู้ก่อร่างสร้างเมืองและตั้งราชวงศ์โชซอนอันยิ่งใหญ่ จะเห็นได้จากสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้า ประตูเมืองเก่า ศาลาที่พัก บ้านเรือนไม้แบบฮันอก ฯลฯ
4. เมืองแห่งการเซลฟี่ ให้เราแปลงกายด้วยชุดฮันบก
อินไปกับบรรยากาศให้มากขึ้นด้วยการสวมชุดฮันบกซึ่งมีร้านชุดเช่าให้เลือกมากมายพร้อมให้เราแปลงกายย้อนเวลาไปในยุคโชซอน พร้อมมุมเซลฟี่ที่มีฉากหลังสวยๆ ทั่วหมู่บ้านที่มีถนนหนทางที่จัดทำไว้อย่างดีให้เราเดินชมได้สบายๆ
5. จุดชมวิวที่เห็น Jeonju Hanok Village ทั่วทั้งหมู่บ้าน
เป็นจุดถ่ายภาพที่อยู่บนเนินเขาเล็กๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปปักหลักเก็บภาพประทับใจ โดยเฉพาะยามเย็นหรือพลบค่ำแสงทไวไลท์ยิ่งทำให้ได้ภาพสวยงาม (แต่ยุงเยอะ ตัวเบ้อเริ่มแถมดุน่าดูเชียวหละ) ด้านบนเนินยังมีศาลา Omokda & Imokdae เป็นจุดที่พระเจ้า Taejo เฉลิมฉลองชัยชนะจากการสู้รบกับญี่ปุ่น
6. ได้นอนพักเกสต์เฮาส์เรือนไม้แบบฮันอกเหมือนคนเกาหลีโบราณ
ชาวจอนจูหลายบ้านก็เปิดห้องพักบริการให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตในเรือนไม้แบบชาวโชซอนที่แสนจะเรียบง่าย ด้วยการปูผ้านอนที่พื้นในห้องพัก ซึ่งราคาเป็นมิตรอยู่นะ
7. มีตลาดเช้าริมน้ำให้เดินเล่นชิลๆ
ตื่นเช้ามาสูดอากาศเย็น เดินเล่นริมแม่น้ำ ชมบรรยากาศตลาดเช้าถ๊กเคบิ (Dokkaebi) ตลาดแบกะดินสไตล์เกาหลี ลิ้มลองผลไม้ท้องถิ่นกินกันสดๆ ในราคาย่อมเยา
8. มีอาหารอร่อยให้ลิ้มลอง
สองฟากฝั่งถนนใจกลางหมู่บ้านเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟและคาเฟ่ที่น่าแวะชิมแวะทานทั้งนั้น โดยเฉพาะหมึกยักษ์ย่างชีสรสแซ่บ ไอศกรีมผลไม้เย็นฉ่ำ บักเก็ตเบอร์เกอร์กรุบกรอบ มันดู (คล้ายเกี๊ยว) หลากหลายไส้ และที่ไม่ควรพลาดคือร้านบิบิมบับที่มีหลายร้านดังให้ไปลิ้มลองกันค่ะ
9. ยามค่ำคืน นั่งชมดนตรีเปิดหมวก
ตกหัวค่ำในช่วงวันหยุดที่ด้านหน้าศาลเจ้าคยองกีจอนจะมีนักดนตรีอิสระหมุนเวียนมาเล่นดนตรีสดพร้อมร้องเพลงเพราะๆ โชว์นักท่องเที่ยว อากาศเย็นๆ เสียงเพลงเบาๆ ได้บรรยากาศโรแมนติกไปอีกแบบ หากมีเวลาเดินไปชมแสงสีที่ประตูพุงนัมมุนได้
10. เมืองแห่งกิจกรรม
ใครอยากสัมผัสวิถีชีวิตชาวโชซอน เรียนรู้เกี่ยวกับชุดของราชวงศ์ การทำกระดาษฮันจิและกิจกรรมการทำบิบิมบับที่นี่ก็มีศูนย์การเรียนรู้ให้เล่นให้ลองทำอยู่ด้วยเช่นกัน
และนี่แหละเป็นสาเหตุให้เราหลงรักเมืองจอนจูแห่งนี้ ทริปหน้าไปเกาหลีต้องมีจอนจูอยู่ในแผนเที่ยวกันด้วยนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง :เมืองสโลว์ไลฟ์ ที่ดีเหมือนฝัน ณ หมู่บ้าน Jeonju Hanok Village เมืองจอนจู เกาหลีใต้
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : Korea all around เกาหลี เล่มเดียวเที่ยวทั่วประเทศ
เรื่องและภาพ : Nyddyo DPlus Guide Team