จะว่าไปสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงสู่ไต้หวันมีเยอะมากๆ และถ้าเป็นสายการบินแบบฟูลเซอร์วิส (Full Service) ที่บินไปไต้หวันก็มีหลายสายการบินเช่นกัน โดยเฉพาะสายการบินแห่งชาติของไต้หวันเอง อย่าง EVA Air และ China Airlines ซึ่งทั้งสองสายการบินนี้ ผู้โดยสารสามารถไปเช็คอินและส่งกระเป๋าโหลดล่วงหน้าไปสนามบินก่อนได้เลยกับอิน ทาวน์ เช็ค อิน (In–Town Check–In) ไฟลท์ขากลับได้ตั้งแต่ในเมืองไทเปเลย โดยสามารถไปเช็คอินได้ที่สถานีรถไฟฟ้าสายสนามบิน Taoyuan Airport MRT สถานี A1 Taipei Main Station ชั้น B1 เพราะผู้โดยสารสามารถมาเช็คอินได้ตั้งแต่เคาน์เตอร์เปิด ซึ่งเคาน์เตอร์ In Town Check จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 06:00-21:30 น. โดยเราต้องไปทำการเช็คอินล่วงหน้า ก่อนเวลาขึ้นเครื่องอย่างน้อย 3 ชั่วโมง สำหรับไฟลท์ที่มีการเดินทางภายในวันเดียวกันเท่านั้น โดยที่ไม่ต้องลากกระเป๋าไปที่สนามบินเอง แล้วไปเดินช้อปปิ้งต่อก็ได้ เที่ยวต่อ ชิลล์ต่อก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องสัมภาระเยอะ แล้วค่อยนั่งรถไฟฟ้าสนามบิน Taoyuan Airport MRT หรือรถบัสของบริษัทกั๋วกวงบัส 1819 (Kuo – Kuang Bus No.1819) ไปสนามบินตามหลัง และเมื่อถึงสนามบินเถาหยวนก็สามารถเดินเข้าตม.ได้เลย เพราะเราเช็คอินมาเรียบร้อยตั้งแต่ในตัวเมืองไทเปแล้ว เห็นไหมว่าสะดวกสบายมากๆ แถมขั้นตอนไม่ยุ่งยาก คิดว่าขาช้อปหลายๆ คนน่าจะชอบนะ
วันนี้เราจึงขอพูดถึงวิธีการ In – Town Check – In ของสายการบิน EVA Air เพราะเราไปไต้หวันรอบนี้ เราเดินทางด้วยสายการบิน EVA Air เลยจะขอรีวิววิธีการ In – Town Check – In ของสายการบิน EVA Air ที่ In – Town Check – In สถานีรถไฟฟ้าสายสนามบิน Taoyuan Airport MRT Line เดินตามป้าย Taoyuan Airport MRT แปปเดียวก็เจอ
พอเราเข้ามาในอาคาร Taoyuan Airport MRT ให้เราเดินตามป้ายที่เขียนว่า In – Town Check – In ซึ่งหาไม่ยากเลย เพราะจะมีป้ายบอกทางตลอด ไม่ต้องกลัวหลงแน่ๆ 55 พอเดินไปถึงภายในบริเวณ In – Town Check – In เราจะเห็นที่เสาอาคารมีติดคำว่า Common – Use Self – Service Check – In ตัวอักษรสีขาว ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน พื้นหลังสีม่วง ตั้งเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล นั่นแหล่ะ ใช่เลย มั่นใจได้ว่า คุณมาถูกทางแหละ อิอิ และตรงจุดนี้ จะมีตู้เช็คอินอัตโนมัติตั้งอยู่เรียงติดกันทั้ง 3 ตู้ พร้อมพนักงานรอต้อนรับอยู่ พนักงานจะถามเราว่า เช็คอินสายการบินอะไร และจะขอพาสปอร์ตของผู้โดยสารมาเช็ค และคอยให้คำแนะนำต่างๆ ทีละขั้นตอนอย่างดี จนเสร็จสิ้นกระบวนการเช็คอินทุกขั้นตอน ไม่ต้องกังวลว่าจะทำไม่ถูกนะ
เริ่มต้นขั้นตอนแรก โดยการอ้างอิงจากการเช็คอินของเราเอง โดยกดเลือกสายการบินที่เราเดินทาง จากหน้าจอทัชสกรีน เรากดเลือกสายการบิน EVA Air และระบบจะให้เราเลือกภาษาได้ว่าเราจะเลือกภาษาอะไร มีภาษาไทยให้เลือกด้วยนะ แต่เราเผลอกดภาษาอังกฤษไป มือไวไปหน่อย 55
หลังจากนั้นระบบก็จะแจ้งรายการของที่ไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ (Dangerous Goods) ตามกฎของสายการบิน ถ้าเราไม่มีสิ่งของตามที่ทางสายการบินระบุ ให้คลิกปุ่ม Confirm
ระบบจะให้เราระบุตัวตน (Identify Yourself) ซึ่งมีให้เลือกทั้งหนังสือเดินทาง (Passport), หมายเลขการจอง (Booking Reference), บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Ticket Number) และหมายเลขสมาชิก (Frequent Flyer Number)
ซึ่งเราเองเลือกเป็นพาสปอร์ต และกดหน้าจอทัชสกรีนตรงคำว่า Passport ได้เลย เสร็จแล้วระบบจะให้เราเลือกจำนวนผู้โดยสารที่จะเช็คอิน (Select The Check – In Figure) เฉพาะการจองภายใต้เลขการจองเดียวกันเท่านั้น จึงจะเช็คอินพร้อมกันได้
ต่อจากนั้น ระบบจะตรวจสอบเอกสารการเดินทาง (Travel Document Verification) ซึ่งก็คือพาสปอร์ต เราต้องสอดหน้าพาสปอร์ตเข้าไปในเครื่องเช็คอินอัตโนมัตินี้ทีละคนจนครบ ตามจำนวนผู้เช็คอิน โดยระบบจะสแกนพาสปอร์ตของเรา และให้รอสักครู่ ระบบจะขึ้นหน้าให้ยืนยันรายชื่อผู้โดยสาร (Confirmed Passengers list) โดยระบุชื่อและนามสกุลของผู้โดยสาร ถ้าชื่อของเราไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่ระบบขึ้นมาที่หน้าจอทัชสกรีน ให้ทำการติดต่อเคาน์เตอร์ EVA Air แต่ถ้าชื่อและนามสุกลปรากฏในรายชื่อถูกต้อง ให้กดปุ่ม Confirm ระบบก็จะเข้ามาที่หน้าการสะสมไมล์ (Mileage Accumulation) เพื่อให้เรากดยืนยัน ถ้าข้อมูลผู้โดยสารถูกต้อง แต่ถ้าหากข้อมูลไม่ถูกต้อง ให้กดปุ่มปรับปรุงข้อมูล (Update) เพื่อปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องได้เลย
เมื่อทำการยืนยันเรียบร้อย ระบบจะเข้ามาที่หน้าการยืนยันหมายเลขที่นั่ง (Seat Confirmation) ระบุเลขที่นั่ง และกด Confirm หลังจากนั้นระบบจะพิมพ์ Boarding Pass ออกมา ให้เรานำ Boarding Pass ไปที่เคาน์เตอร์เพื่อทำการโหลดกระเป๋าได้เลย (ปกติจะต้องทำการโหลดกระเป๋าผ่านเครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ แต่วันที่เราไป ทางเจ้าหน้าที่ให้เราโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์โหลดกระเป๋ากับพนักงานสายการบินแทน) โดยเราสามารถโหลดกระเป๋ากี่ใบก็ได้ แต่น้ำหนักรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 30 kgs. (ซึ่งเราบินกับสายการบิน EVA Air กำหนดมาให้ไม่เกิน 30 kgs.) และทางเจ้าหน้าที่จะให้ใบแท็กกระเป๋าสัมภาระตามจำนวนที่เราโหลดกระเป๋าสัมภาระ และให้เรามารอดูสัมภาระที่เราโหลดที่หน้าจอที่แสดงสายพานโหลดกระเป๋าไปสนามบินเถาหยวน (X – ray scan 1 และ X – ray 2) เพื่อเช็คข้อมูลว่า กระเป๋าของเราที่โหลดไปนั้น ผ่านการตรวจสอบ และส่งผ่านครบทุกใบหรือยัง
เมื่อเช็คกระเป๋าเรียบร้อยให้นำบาร์โค้ดที่แสดงแท็กกระเป๋าสัมภาระแต่ละใบไปสแกนที่เครื่องสแกนบาร์โค้ดเช็คสถานะของกระเป๋าเดินทางของเรา (Baggage Status Querying System) จนครบทุกใบ โดยมีป้ายติดกำกับไว้ว่า ให้เราทำการสแกนแท็กของสัมภาระที่โหลดกับเครื่องสแกนนี้ภายในเวลา 10 วินาที หลังจากเราเห็นสัมภาระของเราผ่านจอมอนิเตอร์เข้าไปเรียบร้อยแล้ว และหน้าจอจะระบุเวลาที่สัมภาระของเราจะไปถึงที่สนามบินเถาหยวน ก็เป็นอันครบถ้วนสมบูรณ์ทุกขั้นตอน จากนั้นก็ไปช้อปปิ้งต่อได้เลยจ้า (≧◡≦)
ถ้าใครไปช้อปปิ้งต่อ และได้ของมาเพิ่ม โดยที่น้ำหนักกระเป๋ายังไม่เกินโควต้าตามที่สายการบินกำหนด และอยากโหลดกระเป๋าเพิ่มก็ทำได้นะ เมื่อไปถึงสนามบินให้ไปโหลดกระเป๋าเพิ่มได้ที่เคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินนั้นๆ ได้เลย เห็นไหมว่าสะดวกสุดๆ เหมาะกับสายช้อปปิ้งมากๆ แค่มาเช็คอินและโหลดกระเป๋าไปสนามบินล่วงหน้า แล้วเราก็เดินสวยๆ เที่ยวไป ช้อปปิ้งไป ไม่ต้องกังวลเรื่องต้องลากสัมภาระเยอะอีกต่อไป แต่ก็อย่าลืม เช็คเวลาการเดินทางให้ดีๆ นะ อย่าเดินเพลินละ อิอิ
เรื่องและภาพประกอบ : E’Pa พาเที่ยว