ยุโรปเส้นทางสายโรแมนติก บทความนี้จะพาคุณไปปรู้จักกับเมืองในฝันที่แสนโรแมนติกและใครหลายๆ คน คงอยากพาคนที่เรารักไปสัมผัสสักครั้งหรือหลายๆ ครั้งในชีวิต โดยเริ่มต้นทริปกันที่เมือง บูดาเปสต์ ,เมืองเวียนนา ,เมืองปราก ,เมืองเชสกี้ครุมลอฟ,เมืองฮาลสตัทท์ , เมืองซาลส์บวร์ก ,เมืองมิวนิค , เมืองฟุซเซ่น และจบทริปกันที่เมืองเวนิส ❤️

BUDAPEST

💕บูดาเปสต์ (Budapest) เป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการี และเป็นทุกอย่างของ ประเทศนี้ ตั้งแต่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การปกครอง วัฒนธรรม และศิลปะทุกแขนง มีประชากรในเขตเมืองชั้นในราว 1.7 ล้านคน และมีประชากรทั้งหมด 3.3 ล้านคน โดยมี พื้นที่ราว 525 ตารางกิโลเมตรนับเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป ตัวเมืองตั้งอยู่ บนสองฟากฝั่งแม่น้ำดานูบ(Danube River/Duna River) แบ่งออกเป็นฝั่งบูดาและฝั่งเปสต์

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่งในบูดาเปสต์ ได้แก่ ปราสาทบูดา ป้อมชาวประมง อาคารรัฐสภาฮังการี และสะพานเชน ซึ่งเชื่อมระหว่างบูดาและเปสต์ เมืองนี้ยังมีชื่อเสียงในด้านบ่ออาบน้ำร้อน เช่น Gellért Baths และ Széchenyi Baths ซึ่งเป็นที่นิยมจากสถาปัตยกรรมเก่าแก่และน้ำบำบัด

บูดาเปสต์มีสถานที่ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยมีพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และโรงละครมากมายที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ ศิลปะ และดนตรีของเมือง เมืองนี้ยังเป็นที่รู้จักในด้านอาหารรสเลิศที่ผสมผสานระหว่างอาหารฮังการีแบบดั้งเดิมและอาหารนานาชาติ อีกทั้งยังมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ครึกครื้นด้วยบาร์ คลับ และร้านอาหารมากมาย

โดยรวมแล้วบูดาเปสต์เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ฮังการีที่ดีที่สุด รวมทั้งเพลิดเพลินไปกับเมืองที่สวยงามและมีชีวิตชีวา 

VIENNA (WIEN)

💕เวียนนา (Vienna หรือ Wien) เป็นเมือง หลวงของออสเตรีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกใกล้ กับชายแดนที่ต่อกับประเทศสาธารณรัฐเชก, สโลวาเกียและฮังการี และยังเป็นเมืองที่ใหญ่ ที่สุดของประเทศอีกด้วย โดยมีประชากร กว่า 1.7 ล้านคน เป็นทั้งศูนย์กลาง เศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่ได้ จารึกไว้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก

เมืองหลวงแห่งนี้ได้ถูกยกย่องมาแต่ โบราณในฐานะเมืองแห่งดนตรี เพราะมีการ วางรากฐานเกี่ยวกับศิลปะแขนงนี้มาอย่าง ช้านาน โดยจุดเริ่มต้นของเมืองนั้นต้องย้อน กลับไปยังสมัยเริ่มแรกของชาวเซลติก ช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่จะมาถึงยุคเรือง อำนาจของชาวโรมัน บริเวณนี้ถูกปกครองด้วย ชาวโรมัน โดยมีชื่อเรียกว่า Vindobona และ เจริญรุ่งเรืองจนเป็นศูนย์กลางการค้าขายใน ช่วงศตวรรษที่ 11

เมืองยังคงเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง จนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและศิลปะแขนง ต่างๆ ของยุโรป และในศตวรรษที่ 19 เวียนนา ก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ยุโรปในช่วงที่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีเจริญ รุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างจากหน้ามือเป็น หลังมือ ความพ่ายแพ้ในสงครามททำให้จักรวรรดิ ล่มสลาย และมีการแยกประเทศออกเป็น ออสเตรียและฮังการี โดยถือเอาเวียนนาเป็น เมืองหลวงของออสเตรีย

ปัจจุบันเวียนนาเปิดรับนักท่องเที่ยวจาก ทั่วสารทิศในฐานะเมืองที่โรแมนติกที่สุดเมือง หนึ่งในยุโรป

PRAGUE (PRAHA)

💕ปราก (Prague หรือ Praha) นั้นเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล โดยเผ่าเคลต์ (Celt) เป็นพวกแรกที่ครอบครองดินแดนในละแวกนี้ ก่อนที่ในเวลาต่อมาโดนรุกรานโดยเผ่าเยอรมนิก (Germanic) อยู่ระยะหนึ่ง และถูก ครอบครองโดยเผ่าสลาฟในคริสต์ศตวรรษที่ 4 และในที่สุดประมาณศตวรรษที่ 7 ก็ได้ทำการ รวมเผ่าเข้าด้วยกันแบบในปัจจุบัน

ตัวเมืองปรากเองนั้นสร้างในศตวรรษที่ 9 โดยเป็นเมืองหลวงของแคว้นโบฮีเมีย ซึ่ง อยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน จนถึงปลายศตวรรษที่ 9 กษัตริย์ บอริวอจ พรีมิสโล เวก (Borivoj Premyslovec) ทรงสร้างปราสาทขนาดใหญ่บนเขาใกล้เคียงกับแม่น้ำวัลตาว่า (Vltava) และทำการตั้งชื่อปราสาทอันแสนยิ่งใหญ่นี้ว่า ปราฮา (Praha) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับ ชื่อเมืองหลวงในภาษาเชกอีกด้วย

ในช่วงเวลาต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กรุงปรากและเชกโกสโลวาเกียในเวลานั้น ได้อยู่ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ เป็นเวลานานกว่า 40 ปีก่อนที่จะมีการ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในเวลาต่อมา ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีของปรากที่แทบไม่ได้ รับความเสียหายจากสงครามเลย ทำให้กรุงปรากยังคงความสวยงามเหมือนเช่นครั้งอดีต และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมยุโรป

CESKY KRUMLOV

💕เชสกี้ครุมลอฟ (Český Krumlov) เป็นเมืองเล็กๆ ในภูมิภาค โบฮิเมียที่อยู่ชายแดนเชก-ออสเตรีย ห่างจากปรากลงมาทาง ใต้ประมาณ 180 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 14,000 คน

เมืองน่ารักเมืองนี้แม้จะมีขนาดที่เล็กมากแต่ก็เต็มเปี่ยม ไปด้วยสถาปัตยกรรมและศิลปะแบบยุคกลางดั้งเดิมอย่างครบ ถ้วน แทบจะทุกอณูของเมือง ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งเครื่องย้อน เวลากลับไปยุคกลางแบบไม่มีผิดเพี้ยน อีกทั้งยังรายล้อมด้วย ธรรมชาติอันสวยงาม ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้นักท่องเที่ยว จากทั่วโลกหลั่งไหลมาเยี่ยมชม Český Krumlov อย่างไม่ขาด สาย จนได้รับฉายาว่า Pearl of Renaissance และได้รับการขึ้น ทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกจาก UNESCO อีกด้วย

เมืองเชสกี้ครุมลอฟนั้นเรียกได้ว่ามีขนาดเล็กกะทัดรัดมาก เพราะใช้เพียงการเดินเท้าก็สำรวจได้ทั้งเมือง แต่ในความเล็ก นั้นก็ซ่อนความน่าสนใจไว้มากมาย ที่เห็นเด่นสุดก็คือ Český Krumlov Castle ที่เป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเชก รอง จาก Prague Castle เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวเมือง หลากหลาย และผืนป่าธรรมชาติที่จะสวยงามเป็นพิเศษในช่วง ใบไม้ร่วงอีกด้วย

HALLSTATT & SALZBURG

💕ฮาลสตัทท์ (Hallstatt) เป็นเมืองเล็กๆ ในภำค Salzkammergut ทำงเหนือของ ออสเตรีย ตัวหมู่บ้ำนตั้งอยู่ใกล้ๆ ทะเลสำบ Hallstätter See มีประชากรเพียงประมาณ 1,000 คน เมืองเคยมีชื่อเสียงมากในการ ผลิตเกลือ ซึ่งปัจจุบันเหมืองเกลือก็เป็นจุดขายหนึ่งของที่นี่ และในปี ค.ศ. 1997 ก็ได้รับ การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้

เมืองน่ารักที่มีทุกอย่างที่พึงจะมีได้ สำหรับการเป็นเมืองในฝันของหลายๆ คน ทั้งเมืองที่เงียบสงบน่าอยู่ มีภูเขาสวยงามล้อมรอบ ทะเลสาบหน้าหมู่บ้านที่ใสราวกระจก อากาศที่ดีเย็นสดชื่น และผู้คนที่ เป็นมิตรอัธยาศัยดี จึงไม่แปลกที่จะดึงดูด ให้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนอยู่ตลอด แต่หากอยากสัมผัสความเงียบสงบ กำรพัก ค้ำงที่โรงแรมเล็กๆ น่ารักในเมืองนี้สักคืนก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะการเดินเล่นช่วงเช้าตรู่ก่อนที่ พระอาทิตย์จะสูงขึ้น และก่อนนักท่องเที่ยวจะเข้ามา (โดยเฉพาะในช่วงกลางวันที่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างจะหนาตา) เราจะได้สัมผัสชีวิตของเมืองนี้อย่างแท้จริง ทั้งการใช้ชีวิตของชาวเมืองและสภาพบ้าน เมืองที่แสนจะเงียบสงบอย่างที่ควรจะเป็น

ส่วนซาลส์บวร์ก (Salzburg) นั้น โด่งดังขึ้นมา มากในฐานะเป็นเมืองที่เป็นโลเคชั่นของหนังดังอย่าง The Sound of Music และยังถือเป็นเมืองต้นแบบของ เมืองใน Disneyland ด้วย เนื่องจำกสถาปัตยกรรม ที่ดูสวยสะอาดตา เน้นสีขาว ส่วน Old town ของ Salzburg ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ในปี 1997 ยิ่งตอกย้ำความสวยงามของเมืองๆ นี้ ในแผนการเดินทาง

MUNICH

💕มิวนิคยังเป็นที่ตั้งของที่ทำการใหญ่พรรคนาซีเยอรมันที่มีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็น ผู้นำ โดยในปี ค.ศ. 1923 พรรคนาซีพยายามยึดอำานาจการปกครองมิวนิค แต่การปฏิวัติล้มเหลว ส่งผลให้ฮิตเลอร์ถูกจับกุมในที่สุด และกิจกรรมของพรรคนาซีต้องหยุดลง แต่ว่า ในอีก 10 ปีต่อมาฮิตเลอร์ก็กลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองมิวนิคต้องเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากถูกทิ้งระเบิด มากถึง 71 ครั้ง แต่หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1945 สหรัฐอเมริกาได้ยึดครองมิวนิคสำเร็จ เมือง แห่งนี้ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี ค.ศ. 1972 ที่ก็ถูกจัดขึ้นที่มิวนิคด้วย โดยโอลิมปิกครั้งนี้ มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นเมื่อผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ได้บุกเข้าไปสังหารกลุ่มนักกีฬา ชาวอิสราเอล และปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันล้มเหลว ส่งผลให้ตัวประกันชาวอิสราเอล เสียชีวิตทั้งหมด แต่หลังจากนั้นมิวนิคก็ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1974 และฟุตบอลโลก 2006 อีกด้วย

FUSSEN

💕ฟุซเซ่น (Füssen) เมืองเก่าที่มีอายุกว่า 700 ปีนี้ อยู่ห่าง จากมิวนิคลงมาทางใต้ ติดกับชายแดนออสเตรีย เป็นปลาย ทางและจุดสิ้นสุดของการเดินทางด้วยรถไฟบนเส้นทางสายโรแมนติก สามารถมาถึงได้โดยง่ายดายด้วยทางรถไฟ

รอบๆ เมืองฟุซเซ่น มีภูเขาในเทือกเขาแอลป์ที่สูงกว่า 800-1,200 เมตร ทำให้บริเวณนี้เป็นเขตที่มีระดับสูงจากน้ำ ทะเลมากที่สุดในแคว้นบาวาเรีย และนอกจากนี้ยังมีทะเลสาบ มากมายล้อมรอบ ทำให้นอกจากปราสาทแล้ว ธรรมชาติของ เมืองและบริเวณโดยรอบก็น่าสนใจไม่น้อย

คำบอกเล่าที่ว่าฟุซเซ่นสวยงามเสมือนถูกสร้างขึ้นมา ด้วยฝีมือของจิตรกรคงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวเกินจริงไปนัก เพราะ เมืองเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำและมีทุกอย่างที่เมืองสวยงาม เมืองหนึ่งพึงจะมีได้ ถ้าได้มีเวลาค้างที่นี่สัก 1-2 คืนน่าจะได้ บรรยากาศมากกว่ามาเช้าเย็นกลับ เพื่อดูชมปราสาทเท่านั้น เพราะนอกจากปราสาทที่โด่งดังทั้ง 2 แล้ว ใกล้ๆกันยังมีเส้น ทาง Trekking ที่น่าสนใจ มีทะเลสาบสวยๆ ทั้งยังมีป่าใบไม้แดงให้เดินชมในช่วงใบไม้ร่วง เรียกได้ว่ามีอะไรให้ทำเยอะ มากกว่าที่คิดแน่นอน

VENICE

💕ตัวเมืองเวนิสเองนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลีบริเวณชายฝั่งทะเล อาเดรียติค มีประชากรประมาณ 70,000 คนอาศัยอยู่ในเมืองที่มีคลองใหญ่ที่ชื่อว่า Canal Grande (ฝั่ง Grand Canal ในภาษาอังกฤษนั่นเอง) ไหลผ่านกลางเมืองเป็นรูปตัว S แบ่ง เขตปกครองออกเป็น 6 เขต อันได้แก่ Castello, San Marco, Cannaregio, Dorsoduro, San Polo และ Santa Croce บนเกาะกว่า 30 เกาะ ที่เชื่อมต่อกันด้วยการโดยสารทาง เรือ หรือไม่ก็สะพานที่มีกว่า 400 แห่ง

เวนิสเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยสถานที่เที่ยวมากมาย ไล่มาตั้งแต่สถานีรถไฟ ที่เที่ยว ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือแม้กระทั่งมุมสงบชายฝั่งทะเล เรื่องของที่ระลึก ร้านค้า ต่างๆ ก็มีมากมายจนแทบนับไม่ถ้วน แถมยังร่ำรวยไปด้วยพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายต่อ หลายแห่ง รวมถึงลานกว้างต่างๆ ที่มีร้านอาหารน่านั่งทานอาหารแกล้มวิวทิวทัศน์ให้ สบายอารมณ์