สำหรับใครที่กำลังสนใจหาสินค้าจากจีนนำเข้ามาขายในไทย หรือสำหรับมือใหม่ที่อยากลองหาธุรกิจใหม่ทำดู การนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จากเมื่อก่อน คนไทยมักหาสินค้าจากตลาดค้าส่งในเมืองไทย ซึ่งบางทีตลาดค้าส่งเหล่านี้สินค้าหลายอย่างก็รับมาจากประเทศจีนอีกที แต่ตอนนี้เทคโนโลยีก้าวไกล คลังความรู้มีมากมาย จนทำให้เรื่องการหาสินค้าเองจากแหล่งผลิต ไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากอีกต่อไป บทความนี้จึงขอเป็นการแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นศึกษาของมูลเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากจีน มาดูกันค่ะ ว่าก่อนเราจะนำเข้าสินค้าเราควรรู้อะไรกันบ้าง
รู้ว่าจะขายอะไร
สำหรับคนที่เคยค้าขายมาก่อนอยู่แล้ว ก็คงมีสินค้าที่อยากขายอยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นสินค้าที่ซื้อหาจากคนกลางหรือโรงงานในไทย ก็คงเลือกสินค้าที่จะนำมาขายได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับนักขายมือใหม่ที่อยากจะมาลงสังเวียนค้าขายกันแบบเริ่มต้นคงเป็นโจทย์ที่คิดไม่ค่อยตก ไม่รู้จะขายอะไรดี เลือกจะขายอันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะขายดีหรือเปล่า ขายแล้วจะขาดทุนมั้ย เงินจะจมหรือเปล่า ปัญหาร้อยแปดพันเก้ามักผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แล้วก็เป็นเรื่องปกติมากๆ ขึ้นชื่อว่าเรื่องการลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับตัว และแข่งขันอยู่ในตลาดให้โดดเด่นกว่าคนอื่นยังไง เอาเป็นว่าสำหรับนักขายมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี อยากให้เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองสนใจ หรือชอบก่อนเป็นอันดับแรก เหตุผลที่แนะนำแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าการเลือกที่จะขายอะไรที่ตัวเองชอบจะเป็นตัวกระตุ้นให้ตัวเองรู้สึกสนุกที่จะทำ และไม่เบื่อหน่ายกับการขายไปง่ายๆ เสียก่อน เพราะช่วงแรกของการลงทุน ส่วนใหญ่มักต้องใช้เวลา การวางแผน และการลงแรงไปมากพอสมควร หากเลือกทำอะไรที่ตนเองไม่รู้สึกอิน พอเปิดตัวขายไปแล้วผลตอบรับไม่ได้เป็นแบบที่คาดหวังไว้ ก็มักจะเลิกล้มขายกันไปแบบง่ายๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก
รู้ว่าต้องหาซื้อจากที่ไหน
แน่นอนว่าบทความนี้จั่วหัวชัดเจนว่านำเข้าจากประเทศจีน แต่ความจริงแล้วจีนเป็นประเทศที่กว้างมาก ฐานการผลิตสินค้าแต่ละประเภทก็อาจจะอยู่ต่างพื้นที่กันออกไป แต่เมืองหลักๆ ที่คนไทยมักเดินทางไปหาซื้อสินค้ากันมักจะมีรายชื่อเมืองที่คุ้นๆ หูกัน ดังนี้ กวางโจว เซินเจิ้น และอี้อู เมืองทั้ง 3 ที่กล่าวถึงนี้ ถ้าพูดในวงการค้าขายของนำเข้าจากจีน ใครๆ ก็ต้องร้องอ๋อ เพราะทั้ง 3 เมืองนี้เป็นฐานการผลิตสินค้า และมีโรงงานเป็นจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับว่าสินค้าที่คุณต้องการอยู่ที่เมืองไหน และที่ไหนราคาต่ำกว่ากันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคุณต้องการสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แก๊ตเจ็ตสำหรับมือถือทั้งหลาย เมืองเซินเจิ้นเค้าขึ้นชื่อเรื่องนี้ แต่ถ้าใครต้องการสินค้าประเภทเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้ายกโหล เสื้อผ้าแฟชั่น รวมไปถึงงานไฮเอนด์ เมืองกวางโจวถือเป็นเมืองที่ตอบโจทย์แม่ค้าสายแฟชั่นได้เป็นอย่างดี ส่วนถ้าใครกำลังมองหาสินค้าราคา 20 บาท สั่งซื้อจำนวนมากแบบยกล็อตยกตู้มาเปิดร้านกันแบบขายส่ง หรือร้านขนาดใหญ่ ต้องมุ่งไปที่เมืองอี้อูเท่านั้นเลย เอาเป็นว่าลองศึกษากันให้ดีๆ ก่อนว่าสินค้าที่คุณต้องการอยู่ที่เมืองไหน ใครไม่รู้ ขอแนะนำทางออกด้วยหนังสือ“ลุยตลาดค้าส่ง กวางโจว อี้อู เซินเจิ้น” ที่จะช่วยแนะนำตลาดขายสินค้าตามประเภทสินค้าให้ศึกษากันแบบเดินทางไปถึงที่ได้เองเลยทีเดียว
รู้ว่าต้องขนสินค้ากลับยังไง
ใครที่เคยเดินทางไปต่างประเทศเป็นประจำอยู่แล้ว คงรู้กันเป็นอย่างดีว่าเราสามารถโหลดข้าวของมาทางใต้ท้องเครื่องได้ แต่ก็จะมีเกณฑ์น้ำหนักจำกัดอยู่ ส่วนจะเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับสายการบินที่คุณใช้เดินทางนั่นเอง แต่สำหรับแม่ค้ามืออาชีพที่ต้องการขนสินค้ากลับมาขายยังไทย การโหลดสินค้ามาทางใต้ท้องเครื่องบินคงไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะบางสายการบินไม่มีน้ำหนักให้โหลดฟรี ถ้าซื้อน้ำหนักโหลดของกลับก็คงไม่คุ้มแน่ ซึ่งการขนของกลับเพื่อมาขายคุณต้องสำแดงของต่อศุกลากร อาจทำให้ต้องเสียค่าภาษีเยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นคุณต้องรู้จักกับชิปปิ้ง หรือบริษัทที่จะเป็นตัวกลางในการขนสินค้าของคุณกลับมายังเมืองไทยอย่างสะดวกสบาย ซึ่งมีค่าขนส่งที่ชัดเจน สามารถคำนวณและควบคุมต้นทุนได้ ซึ่งบริษัทชิปปิ้งพวกนี้เค้าก็จะช่วยเคลียร์ภาษีนำเข้ามาให้เรียบร้อย โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเรียกเก็บเกินจากที่คาด โดยส่วนใหญ่บริษัทชิปปิ้งพวกนี้เค้าจะเก็บค่าบริการจากค่าน้ำหนักสินค้า ซึ่งภาษาแม่ค้าเค้าก็จะเรียกกันว่า “ค่ากิโล” นั่นเอง
โดยค่ากิโลจะถูกแยกราคาออกไปตามวิธีการขนส่ง 3 วิธีหลักๆ ได้แก่
- ขนส่งโดยเรือ แบบนี้จะเป็นการขนส่งที่ถูกที่สุด แต่ช้าที่สุด การเดินทางล่องเรือจากเมืองกวางโจวมายังไทย ใช้เวลาประมาณ 12-15 วัน
- ขนส่งโดยรถ เป็นวิธีที่แม่ค้าชาวไทยนิยมเลือกใช้ เนื่องจากใช้เวลาไม่นาน ค่ากิโลราคาปานกลาง ซึ่งจะใช้เวลาการเดินทางจากกวางโจว วิ่งรถผ่านทางประเทศลาว เข้ามาทางจังหวัดในภาคอีสาน ใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน
- ขนส่งโดยเครื่องบิน เป็นวิธีที่แม่ค้าชาวไทยเลือกน้อยที่สุด เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องการความปลอดภัยระดับสูงในการขนส่ง โดยจะใช้เวลาในการเดินทาง 1-2 วันเท่านั้น
ส่วนการจะหาชิปปิ้งจากไหนนั้น ในกทม. มีผู้ให้บริการทางด้านนี้อยู่หลายเจ้า ราคาก็แตกต่างกันไป ใครมีเพื่อนเคยใช้บริการกันอยู่ก็ให้เพื่อนแนะนำกันได้เลย แต่ถ้าไม่รู้จักใครในวงการนี้เลย ลองค้นหาผ่านทางกูเกิ้ลก่อนโดยเบื้องต้น จากนั้นค่อยค้นต่อว่ามีคนอื่นๆ พูดถึงการบริการอย่างไรบ้าง ส่วนตัวแล้วเคยใช้บริการอยู่หลายเจ้ามากๆ แต่ก็ไม่อยากฟันธงว่าเจ้าไหนตอบโจทย์มากที่สุด เพราะชิปปิ้งแต่ละเจ้าก็มีจุดเด่นของงานบริการที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่ารอบๆนั้นเราต้องการงานบริการแบบไหน
รู้ภาษาจีน
เป็นปัญหาโลกแตกอีกเรื่องที่เป็นอุปสรรคทางการสื่อสารกันเลยก็ว่าได้ บางคนพูดภาษาไทยกันเองยังต้องแปลแล้วแปลอีก 555 เอาเป็นว่าถ้ามีระยะเวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างสั้นยังไม่ต้องไปลงทุนเรียนเพิ่มนะจ๊ะ แนะนำให้หาไกด์หรือล่ามช่วยแปลภาษาให้จะเป็นทางออกที่ดีกว่า ส่วนจะหาไกด์ช่วยเราแปลภาษาเพื่อเจรจาซื้อได้จากที่ไหนงั้นหรอ? แนะนำให้ทางบริษัทนำเข้าสินค้าหรือชิปปิ้งที่เราติดต่อไว้ช่วยหาให้เลยค่ะ โดยราคามาตรฐานสำหรับจ้างไกด์จะเริ่มต้นที่ประมาณ 300 หยวน (ประมาณ 1,500 บาท/วัน) ไม่รวมค่าทิปและค่าอาหารระหว่างวัน แต่บางชิปปิ้งถ้าเราใช้บริการขนสินค้ากลับไทยในจำนวนมากๆ ก็จะมีบริการไกด์ฟรีให้ด้วยนะ อันนี้ก็แล้วแต่การตกลงนั่นเอง
โดยหน้าที่ของไกด์เหล่านี้ เค้าจะช่วยพาเราเดินทางไปยังตลาด ช่วยพูดต่อรองราคาสินค้า สอบถามข้อมูลต่างๆที่เราอยากจะรู้ หากปิดการขายมีการสั่งซื้อของจากร้านหรือโรงงาน ไกด์จะเป็นคนช่วยเปิดบิล ต่อรองค่ามัดจำและติดต่อเรื่องการขนส่งไปยังโกดังของชิปปิ้งที่จีนให้ครบทุกอย่างโดยที่เราไม่ต้องหอบหิ้วอะไรให้หนักเลย
คำเตือน ไกด์ทุกคนมีทักษะ และความรู้ที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็แปลภาษาได้ดี มีใจบริการ และช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ หากไปหลายๆ ครั้งแล้วเจอน้องคนไหนถูกใจ ก็จองตัวหลังไมค์ จัดตารางใช้บริการกันได้ยาวๆ เลย
รู้ว่าต้องไปยังไง พักที่ไหน
การเดินทางไปเมืองหลักอย่างเมืองกวางโจว หรือเซินเจิ้นนั้นจะมีสายการบิน Low Cost ราคาประหยัดที่จะช่วยลดต้นทุนให้เราหลากหลายสายการบิน โดยราคาช่วงโปรโมชั่นดีๆ บางทีราคา 2 พันกว่าบาทก็มีให้เห็น ส่วนใครที่ต้องการจะไปยังเมืองอี้อูนั้นจะไม่มีสายการบินที่บินตรงไปยังเมือง แต่จะต้องต่อเที่ยวบินจากในประเทศไทยอีกที หรือจะบินจากไทยไปลงยังเมืองหางโจว หรือเมืองอื่นๆ ข้างเคียง แล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงไปก็ได้เช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องที่พักที่เมืองจีนนั้นราคาถูกๆ มีเยอะมาก ห้องกว้าง ความสะดวกครบครัน ซึ่งสามารถค้นหาที่ทำการจองผ่านเว็บไซต์สำหรับจองโรงแรมอย่าง Agoda, Booking, Trip และเว็บเอเจนซี่อื่นๆ ได้อย่างสะดวก
รู้ว่าจะขายที่ไหน
เมื่อเราหาของจากแหล่งที่คิดว่าถูกที่สุด ซึ่งสามารถทำราคาได้ไม่สูงมากเพื่อดึงดูดผู้ซื้อได้แล้ว ปัจจัยหลักสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ช่องทางการขาย” นั่นเอง ปัจจุบันการค้าขายมีการแข่งขันกันสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการขายแบบมีหน้าร้าน หรือขายผ่านทางช่องทางออนไลน์ ยิ่งเราสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลายช่องทางมากเท่าไหร่ โอกาสในการขายก็ย่อมเกิดมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้กระบวนการขายก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การขายเพื่อให้สินค้าดูโดดเด่น และน่าดึงดูดการซื้อด้วย ใครมีกลยุทธ์ที่การขายที่เหนือกว่าก็ย่อมขายได้มากกว่าเช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาล้วนเป็นข้อควรรู้พื้นฐาน เพื่อการเตรียมตัว เตรียมความพร้อมในการผันตัวเองกลายเป็นพ่อค้า แม่ค้าที่นำเข้าสินค้าจากจีนมาขาย ยังมีบทความแนะนำที่อยากจะเขียนแนะนำอีกหลากหลายเรื่อง ยังไงช่วยกันติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
– ไปกวางโจวทั้งที ไปทำอะไรดี
– เรียนรู้ก่อนไปเดินตลาดค้าส่งจีน (กวางโจว)
เรื่องและภาพโดย : @ipookpui